ความเข้าใจของคนยุคปัจจุบันที่ว่าสยามกับปัตตานีเป็น ‘คนอื่นไกล’ ที่แตกต่างกันในทุกด้านจนเรียกได้ว่าไม่ใช่ญาติพี่น้องนั้น ดูเหมือนว่าจะไม่เป็นความจริงเสียเลย กลับกัน เอกสารโบราณของมลายูหลายชิ้นยืนยันว่าสยามและปัตตานีนั้นเป็น ‘พระญาติใกล้ชิด’ กัน หลักฐานเอกสารชิ้นนี้จึงมีความน่าเชื่อถือทางประวัติศาสตร์ เพราะเป็นเอกสารประเภทตำนาน/พงศาวดารมลายูที่เก่าแก่ที่สุด จึงทำให้ที่ปรากฏในเอกสารชิ้นนี้มีความน่าเชื่อถืออย่างสูง เพราะยัง ไม่ได้ถูกเจือปนด้วยทัศนคติหรือความเห็นของคนสมัยหลัง
กษัตริย์ปัตตานีที่เข้ารับอิสลามคนแรกเป็นเจ้าชายชาวสยาม
“เจ้าศรีวังสา ซึ่งเป็นเจ้าชายสยาม ได้วางแผนเข้าโจมตีเมืองโกตามหลิฆัยหรือปัตตานี กษัตริย์ของโกตามหลิฆัยในเวลานั้นคือรายาสุไลมาน เมื่อต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่ยากลำบากในขณะนั้น เจ้าศรีวังสาได้ให้คำมั่นต่อคนของพระองค์ว่า หากพระองค์มีชัยเหนือรายาสุไลมานแล้วไซร้ จะทรงเปลี่ยนมานับถืออิสลาม และท้ายที่สุดรายาสุไลมานแห่งโกตามหลิฆัยก็ได้พ่ายแพ้แก่เจ้าศรีวังสาตามประสงค์ ต่อมาพระองค์ได้เปลี่ยนมานับถือศาสนาอิสลามตามที่ทรงได้ให้สัตย์ไว้ และเปลี่ยนพระนามมาเป็นสุลต่าน ศรี อะหมัด ชาห์”
สุลต่านมูซัฟฟาร์นั้นถือว่าพระองค์เป็นพระญาติสนิทกับกษัตริย์อยุธยา
ความเป็นญาติเกี่ยวดองกันระหว่างสยาม (อยุธยา) และปัตตานีนี้ มีหลักฐานจากพระราชพงศาวดารของราชสำนักไทรบุรี ที่ได้กล่าวไว้อย่างชัดเจนว่ากษัตริย์ไทรบุรี อยุธยา และปัตตานี สืบเชื้อสายมาจากปฐมราชวงศ์เดียวกัน ดังนั้น ในความเห็นของราชสำนักมลายูทั้งปัตตานี มะละกา และไทรบุรี ราชวงศ์ปัตตานีนั้นเป็นญาติสนิทของกษัตริย์ในอยุธยาอย่างแน่นอน และมีความเป็นไปได้ว่าราชวงศ์ปัตตานีศรีวังสาเป็นชาวสยามแต่ดั้งเดิม มีความสนิทสนมกับมะละกาด้วย
จะเห็นได้ว่าการสำรวจตรวจสอบความเข้าใจและการรับรู้ของโลกมลายูต่อปัตตานี เอกสาระสำคัญของโลกมลายูเหล่านี้ทุกชิ้นชี้ไปในทางเดียวกันว่า ราชวงศ์ศรีวังสาปัตตานีนั้นมีความสัมพันธ์กับอยุธยายิ่งกว่านั้น เอกสารของราชสำนักมะละกาที่ถือว่าเป็น ‘มลายู’ อย่างที่สุด (เพราะมะละกาคือรัฐที่ประกาศว่าเป็นรัฐมลายูรัฐแรกบนโลกและส่งออกแนวคิดทางการเมืองดังกล่าวออกไปยังปัตตานีและไทรบุรี) ก็กล่าวอย่างชัดเจนว่าเจ้าศรีวังสา กษัตริย์ปัตตานีพระองค์แรกที่รับอิสลามคือ ‘เจ้าชายสยาม’
———————————-